Editor's Pick

แนะนำ 5 Smart Watch งบหลักพัน คุณภาพหลักหมื่น รุ่นไหนดี

05

คงปฎิเสธไปไม่ได้เลยว่า ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพกันมากขึ้น หลายคนจึงเริ่มมองหาตัวช่วยสายสุขภาพที่เป็นมากกว่านาฬิกาข้อมือทั่วๆ ไปอย่างสมาร์ทวอทช์ (Smart Watch) หรือ นาฬิกาอัจฉริยะที่ได้รวบรวมฟีเจอร์สำคัญเอาไว้มากมาย ทั้งด้านสุขภาพ ทั้งด้านการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์ตรวจวัดค่าการเต้นของหัวใจ การนับจำนวนก้าว การคำนวณแคลอรี่ รวมถึงการแจ้งเตือนต่างๆ ผ่านการเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนของคุณได้ เพื่อให้ไม่พลาดทุกการติดต่อทั้งสายเรียกเข้า ข้อความแจ้งเตือน และฟีเจอร์อื่นๆ อีกมากมาย

ในปัจจุบันตลาดวงการสมาร์ทวอทช์ มีการแข่งขันค่อนข้างสูง หลายแบรนด์ดังต่างพากันออก สมาร์ทวอทช์ หลายรุ่น หลายระดับมาให้ผู้ใช้งานได้เลือกหาซื้อกัน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Huawei, Amazfit Watch, Garmin Watch และ TicWatch ก็ตาม ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป บางรุ่นเน้นการใช้งานทั่วไป บางรุ่นก็เน้นเพื่อการออกกำลังกายโดยเฉพาะ! ในบทความนี้เองทางOZ1 Gadgetจะมาแนะนำ 5 smart watch งบหลักพัน คุณภาพหลักหมื่น รุ่นไหนดี? อีกหนึ่งตัวช่วยตัดสินใจ สำหรับใครที่อยากได้สมาร์ทวอทช์คุณภาพดีในราคาที่ไม่สูงมากนัก แต่ยังคงประสิทธิภาพดีเทียบเท่ารุ่นแพง ส่วนจะมีแบรนด์ไหนรุ่นอะไรที่น่าสนใจบ้างนั้น เราตามไปดูกันเลยครับ

5 Smart Watch งบหลักพัน คุณภาพหลักหมื่น ในบทความนี้

  1. TicWatch S2
  2. Amazfit GTR 4
  3. Xiaomi Mi Band 7 Pro
  4. Huawei Watch GT2 (GT2 42 mm)
  5. Garmin Vivosmart 4 

1. TicWatch S2 สมาร์ทวอทช์ พันธุ์แกร่ง เพื่อสายแอคทีฟ

ขอเริ่มต้นรุ่นแรกด้วยสมาร์ทวอทช์สายลุยดุดันอย่าง TicWatch S2 สมาร์ทวอทช์ที่ถูกออกแบบมาให้ทนต่อทุกสภาพแวดล้อม ทั้งกิจกรรมเอาท์ดอร์ กิจกรรมฟิตเนส รวมถึงสวมใส่ใช้งานในชีวิตประจำวัน รุ่นนี้โดดเด่นในเรื่องของดีไซน์สปอร์ต วัสดุแข็งแรงทนทานการันตีด้วยมาตรฐานความแกร่งระดับกองทัพ (Military-Grade Standards) ทนต่ออุณหภูมิและสภาพแวดล้อมตั้งแต่ -30 °C ถึง 70 °C นอกจากนี้ยังมี ฟีเจอร์ AI อัจฉริยะตรวจจับความเคลื่อนไหวของร่างกาย พร้อมบันทึกข้อมูลการออกกำลังกายโดยอัตโนมัติ ที่จะเริ่มแทร็กกิจกรรมให้ทันที โดยไม่ต้องคอยเลือกโหมดเองให้เสียเวลา ถือได้ว่าเป็นสมาร์ทวอทช์สุดแกร่งในราคาหลักพัน พร้อมลุยไปกับคุณได้ทุกสถานการณ์ตัวจริง!

สเปกเด่น

  • TicMotion ตรวจจับการเคลื่อนไหวอัตโนมัติ
  • กันน้ำระดับ 5ATM (50 เมตร) 
  • มี GPS ในตัว

ข้อดี

  • ตัวนาฬิกาถูกออกแบบให้ทนต่ออุณหภูมิและสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ดี
  • สายซิลิโคนถอดเปลี่ยนสายได้ และยังมีหน้าปัดนาฬิกานับ 1,000 แบบ 
  • โหมดติดตามการว่ายน้ำ
  • เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ ตลอด 24 ชั่วโมง
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 2 วัน
  • รองรับคำสั่งเสียง Google Assistant
  • รองรับระบบปฏิบัติการ Wear OS โดย Google
  • ระบบประมวลผล Qualcomm® Snapdragon Wear™
  • รองรับทั้ง iOS และ Android

ข้อควรระวัง

  • ไม่รองรับการโทรฯ ด้วยระบบ Bluetooth
  • อายุการใช้งานของแบตเตอรี่เพียง 2 วัน เท่านั้น
  • ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบสายนาฬิกาประเภทซิลิโคน

สนใจ TicWatch S2 คลิกที่นี่

2. Amazfit GTR 4 สมาร์ทวอทช์แนวเรียบหรู สวยสะดุดตากว่าที่คิด

รุ่นถัดมาขอพูดถึงแบรนด์ Amazfit กันบ้าง โดยถือได้ว่าเป็นแบรนด์ที่ผลิต Smart Watch ออกมาได้ค่อนข้างเป็นที่นิยมด้วยฟีเจอร์ครบครันในราคาที่เข้าถึงได้ จนถึงตอนนี้ก็ได้มีรุ่นใหม่อย่าง Amazfit GTR 4 ออกมาในดีไซน์หน้าปัดกลมดูทันสมัย เรียบหรูไปในตัว ฟีเจอร์ที่น่าสนใจได้แก่ การตรวจจับการเคลื่อนไหว รวมไปถึงการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่ทำออกมาได้ค่อยข้างดีพอสมควร นอกจากนี้ยังเป็น Smart Watch ที่รองรับการใช้งานพูดคุยโทรศัพท์โดยตรงผ่านทางตัวนาฬิกาได้อีกด้วย เหมาะมากสำหรับใครที่ชอบสมาร์ทวอทช์แนวเรียบหรูเน้นสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน ขอแนะนำเป็นรุ่นนี้เลยครับ

สเปกเด่น

  • กันน้ำระดับ 5ATM (50 เมตร) 
  • รองรับโหมดกีฬากว่า 150+ โหมด
  • รองรับการพูดคุยโทรศัพท์ผ่านทาง SmartWatch

ข้อดี

  • ตัวนาฬิกามาพร้อมกระจกนิรภัยหน้าจอ AMOLED
  • มี Watch Face ให้เลือกมากกว่า 200 แบบ และรองรับ Always-on Display
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 14 วัน พร้อม Battery Saver Mode
  • รองรับการวัด Heart Rate และ ฟีเจอร์ SpO2 ออกซิเจนในเลือด
  • รองรับการวิเคราะห์การออกกำลังกาย / อัตราการเต้นของหัวใจ / ตรวจสอบการนอนหลับ
  • รองรับการประเมินสุขภาพ PAI และตรวจจับความเครียด
  • รองรับฟีเจอร์การค้นหาโทรศัพท์ และการแจ้งเตือนต่างๆ ผ่านทางสมาร์ตโฟน
  • รองรับการทำงานร่วมกับแอปฯ Zepp
  • รองรับระบบปฏิบัติการ Zepp OS 2.0
  • รองรับทั้ง iOS และ Android

ข้อควรระวัง

  • หากใช้งานพูดคุยโทรศัพท์เป็นเวลานาน แบตเตอรี่ค่อนข้างหมดไว
  • ถึงแม้ว่าจะรองรับภาษาไทย แต่อักษรพิเศษจะไม่สามารถอ่านได้ ต้องคอยอัปเดตอยู่บ่อยๆ

3. Xiaomi Mi Band 7 Pro สมาร์ทวอทช์สายมินิมอล ฟีเจอร์คุ้มเกินราคา

5 Smart Watch งบหลักพัน คุณภาพหลักหมื่น รุ่นไหนดี? หากไม่พูดถึงแบรนด์นี้ก็คงจะไม่ได้กับ Xiaomi Mi Band 7 Pro จาก  Mi Band มาในดีไซน์หน้าจอสีเหลี่ยมขอบมนขนาดเล็กกะทัดรัด แต่ฟีเจอร์นี่เอาเรื่องอยู่ไม่น้อย ทั้งการตรวจจับวัดค่าของหัวใจ และอีกมากมาย พร้อมยังมี GPS ในตัว รองรับโหมดออกกำลังกายได้มากกว่า 117 โหมด เพื่อการออกกำลังกายโดยเฉพาะ โดยที่สามารถตรวจวัดได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งใช้งานได้นานสูงสุด 20 วัน เรียกได้ใช้งานได้นานจนไม่ต้องเผื่อเวลามาคอยตรวจสอบแบตฯ ให้เสียเวลาราคาก็ย่อมเยา คุ้มค่าทุกการใช้งานจริงๆ ครับ

สเปกเด่น

  • รองรับโหมดกีฬากว่า 117 โหมด
  • มี GPS ในตัว
  • กันน้ำระดับ 5ATM (50 เมตร) 

ข้อดี

  • ตัวนาฬิกามาพร้อมหน้าจอ AMOLED 2.5D แข็งแรงทนทาน
  • รองรับระบบสัมผัส
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 20 วัน
  • รองรับระบบตรวจจับการเต้นของหัวใจ / ตรวจวัดออกซิเจนในเลือด / ตรวจจับการนอนหลับ
  • รองรับฟีเจอร์รีโมทถ่ายภาพสำหรับสมาร์ตโฟน และสามารถควบคุมเพลง บันทึกภาพได้
  • รองรับการใช้งานร่วมกับแอปฯ Mi Fitness
  • รองรับทั้ง iOS และ Android

ข้อควรระวัง

  • ไม่รองรับการโทรฯ ด้วยระบบ Bluetooth
  • ไม่มีมาตรฐานกันนํ้า

4. Huawei Watch GT2 (GT2 42 mm) สมาร์ทวอทช์รุ่นยอดนิยม ครบเครื่องด้านสุขภาพ

มาเอาใจสาย Android  โดยเฉพาะกับสมาร์ทวอทช์รุ่นยอดนิยมอย่าง Huawei Watch GT2 มกับดีไซน์สุดพรีเมียม ที่มีให้เลือก 2 ขนาด GT2 46 mm และ GT2 42 mm ในด้านของรุ่น 42 mm จะแบ่งออกเป็น 3 รุ่นด้วยกันทั้ง Sport Edition, Classic Edition และ Elite Edition ซึ่งแต่ละรุ่นก็จะมีดีไซน์หน้าตาที่แตกต่างกันออกไปเพื่อรองรับการใช้งานได้ทุกไลฟ์สไตล์ โดยหน้าจอเป็นแบบทัชสกรีน AMOLED HD ส่วนตัวเรือนผลิตจากโลหะ และพลาสติกแข็งทนทานพร้อมลุยได้ทุกกิจกรรม ส่วนฟีเจอร์ก็ครบครันทั้งด้านสุขภาพ และการใช้งาน แต่จะมีการตัดลำโพงในตัวออกไป ทำให้ไม่สามารถฟังเพลง หรือใช้รับสายโทรศัพท์พูดคุยได้เหมือนรุ่น GT2 46 mm ได้เพียงแค่การแจ้งเตือนเท่านั้น ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ ก็ถือว่าทำได้ดีไม่ต่างกันเลย ซึ่งหากใครชอบฟังก์จัดเต็มขอเชียร์ไปทางรุ่น GT2 46 mm นะครับ

สเปกเด่น

  • รองรับโหมดกีฬากว่า 15 โหมด
  • มี GPS ในตัว
  • กันน้ำระดับ 5ATM (50 เมตร)

ข้อดี

  • ดีไซน์เรียบหรูหน้าจอ OLED HD คมชัดสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้สบาย
  • รองรับระบบสัมผัส 
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 7 วัน
  • รองรับระบบตรวจจับการเต้นของหัวใจ / ตรวจวัดออกซิเจนในเลือด / ตรวจจับการนอนหลับ
  • รองรับฟีเจอร์การติดตามสุขภาพที่ครบครัน
  • รองรับทั้ง iOS และ Android

ข้อควรระวัง

  • ไม่รองรับการโทรฯ ด้วยระบบ Bluetooth
  • อายุการใช้งานของแบตเตอรี่เพียง 7 วัน เท่านั้น
  • โหมดวัดความเครียด รองรับการใช้งานร่วมกับระบบ Android เท่านั้น

5. Garmin Vivosmart 4 สมาร์ทวอทช์ไซซ์เล็ก คุณสมบัติไม่เล็กตาม

เดินทางมาถึงรุ่นสุดท้านกันแล้วกับ 5 Smart Watch งบหลักพัน คุณภาพหลักหมื่น รุ่นไหนดี? ขอมาเอาใจคนชอบไซซ์เล็กสไตล์สายรัดข้อมือกันบ้างกับ Garmin Vivosmart 4 รุ่นนี้มาพร้อมกับดีไซน์เรียบง่าย บางเบาสวมใส่ได้ทุกวัน ไม่ว่าจะในชีวิตประจำวัน หรือสวมใส่ไปออกกำลังกายก็ทำได้ค่อนข้างดี สำหรับรุ่นนี้โดดเด่นในเรื่องของเทคโนโลยี Garmin Elevate วัดอัตราการเต้นของหัวใจจากข้อมือได้ตลอด 24 ชั่วโมง การวัดระดับออกซิเจนในเลือด  รวมไปถึงการวิเคราะห์พลังงานที่เราใช้งานไปตลอดทั้งวัน ทำให้เราได้มีเวลาในการวางแผนดูแลสุขภาพ ขนาดเล็กขนาดนี้แต่ด้านความสามารถเกินตัวไปอีก นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับคุณสมบัติกันถึง 50 เมตร ไม่ว่าจะต้องเจอกับสถานการณ์รูปแบบไหนก็พร้อมใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา ถือได้ว่าเป็นสมาร์ทวอทช์รุ่นปิดท้ายที่มากไปด้วยสามารถในราคาหลักพันเท่านั้นเอง ไม่ควรพลาดเลยนะครับ

สเปกเด่น

  • รองรับโหมดกีฬากว่า 15 โหมด
  • มี GPS ในตัว
  • กันน้ำระดับ 5ATM (50 เมตร)
  • เซนเซอร์ Pulse Ox ประเมินระดับออกซิเจน

ข้อดี

  • ดีไซน์เรียบหรูหน้าจอ OLED ควบคุมด้วยระบบสัมผัส
  • จอแสดงผลแบบ Away-on Display
  • เซนเซอร์ตรวจจับสุขภาพได้อย่างแม่นยำ
  • รองรับฟีเจอร์การติดตามสุขภาพที่ครบครัน
  • มาตรฐานกันนํ้า 50 เมตร 
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 7 วัน
  • รองรับทั้ง iOS และ Android

ข้อควรระวัง

  • ไม่รองรับการโทรฯ ด้วยระบบ Bluetooth
  • อายุการใช้งานของแบตเตอรี่เพียง 7 วัน เท่านั้น
  • หน้าจอแสดงผลค่อนข้างเล็ก 
  • ไม่มีปุ่มควบคุม และไม่สามารถเปลี่ยนสายนาฬิกาได้

ก็จบกันไปแล้วกับแนะนำ 5 Smart Watch งบหลักพัน คุณภาพหลักหมื่น รุ่นไหนดี? ที่เรานำมาฝากกันในครั้งนี้ ถูกใจรุ่นไหนกันอยู่บ้างไหมเอ่ย? ต้องบอกเลยว่าทุกรุ่นที่เราเลือกมานั้น จัดเต็มทุกฟีเจอร์ทั้งด้านสายสุขภาพรวมไปถึงการใช้งานชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่ว่าจะเลือกใช้งานรุ่นไหนก็ย่อมส่งผลดีทั้งนั้น อย่างไรก็ตามอยากให้เลือกใช้งานให้ตอบโจทย์เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง เพื่อที่ว่าจะได้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปแถมยังได้สุขภาพที่ดีขึ้น หากครั้งหน้าเรามีบทความใหม่ๆ หรือสินค้าที่น่าสนใจอีกสามารถเข้าไปดูคลิกที่นี่สำหรับบทความนี้ขอตัวลากันไปก่อน สวัสดีครับ